#รีบรีวิว Squid Game
บททดสอบประชาธิปไตยจอมปลอม
เกมเอาตัวรอดแสนเจ็บปวด
เกมนี้ เล่นแล้วรวยจนลืมตาย!
ขอต้อนรับสู่เกมสดใส ในวัยเด็กที่วันนี้มันจะมอบโอกาสครั้งสำคัญ พลิกชีวิตอาภัพ ให้รวย จนลืมตาย! Squid Game เกมลุ้นตาย ซีรีส์เอาตัวรอดจากเกาหลี พาไปลุ้นระทึกกับหนุ่มดวงซวย กีฮุน ที่ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้เล่นเกมมรณะจากผู้เล่นทั้งหมด 456 คน เพื่อชิงเงินรางวัล 45,600,000,000 วอน!
ถึงจะเป็นแค่เกมเด็กเล่น ในวันวาน ที่ชนะจะรวยจนลืมตาย แต่ถ้าแพ้...ทุกอย่างจะสูญสิ้น!
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Squid Game ซีรีส์เอาตัวรอดเรื่องใหม่จาก Netflix ที่เปลี่ยนภาพจำของการละเล่นในวันวานให้กลายเป็นเกมลุ้นระทึก บีบคั้นหัวใจ คละคลุ้งด้วยกลิ่นคาวเลือด แม้เนื้อหาโดยรวมจะไม่ต่างกับซีรีส์เอาตัวรอดเรื่องอื่น ๆ แต่ Squid Game ก็มีดราม่าที่หนักแน่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่พลิกโฉมความโหดเลือดสาดด้วยสีสันสดใส และเกมการแข่งขันที่หยิบเอาการละเล่นสมัยเด็ก ๆ ที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไป ทำให้กติกาการเล่นเข้าใจได้ไม่ยาก
ในขณะเดียวกัน Squid Game ก็เหมือนภาพสะท้อนของการกุมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ หยิบยื่น "ประชาธิปไตย" จอมปลอมให้กับผู้คน หลอกล่อด้วยการค่อย ๆ ปลูกฝังความคิด จนทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้เล่น
สังเกตได้จากเหตุการณ์ที่ผู้เข้าแข่งขันในรอบแรกเฉียดตายจากเกม a e i o u จนอยากจะถอนตัวจากเกมมรณะ ผู้คุมหยิบยื่นโอกาสที่จะหยุดเล่นให้กับผู้ร่วมเล่นเกมภายใต้เงื่อนไข "ยุติการเล่นหากผู้เข้าร่วมส่วนมากยินยอม" จนกลายมาเป็นการโหวต และอ้างว่า "ที่นี่ยึดหลักประชาธิปไตย"
โดยผู้ร่วมแข่งขันหารู้ไม่ว่า ปัญหาด้านการเงินที่พวกเขาประสบ เงินรางวัลที่ยั่วยวนใจ และปัญหาชีวิตที่เกินเยียวยา คือเงื่อนไขชั้นดีที่ผู้คุมเกมต่างรู้ว่า การแข่งขันครั้งนี้ จะไม่มีวันยุติ พวกเขาจะกระหายเงินตรา จนหวนสู่สังเวียนเกมลุ้นตายอีกครั้ง เพื่อแย่งชิงเงินรางวัลกว่า 45,600,000,000 วอน
ในขณะเดียวกันมันด้วยกฎเกณฑ์ที่ผู้คุมสร้างขึ้น มันก็ค่อย ๆ ปลูกฝังความคิดแบบผิด ๆ ลงไปในหัวของผู้เข้าแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเงินรางวัลที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนคนตาย หรือการปล่อยให้ผู้เข้าแข่งขันผิดใจกันจนเกิดจลาจล จนทำให้ผู้เล่นเริ่มหันเหความสนใจจากการเอาชนะ ไปสู่การกำจัดผู้ร่วมแข่งขัน สร้างความฝันสวยหรูว่าเมื่อไหร่ที่เป็นผู้เหลือรอดจากการแข่งขันนี้ได้ จะได้ใช้เงินรางวัลอย่างสุขสบายอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยมีโอกาส...แต่นั่นเป็นเพียงแค่ฝันล้มแล้ง ๆ ที่ยากจะเกิดขึ้นจริง เมื่อในบรรดา 456 คนที่เข้าแข่งขันจะมีเพียงแค่ 1 คนเท่านั้น ที่จะได้ครองเงินจำนวนมหาศาล
สิ่งที่ทำให้ Squid Game โดดเด่นจากซีรีส์เอาตัวรอดเรื่องอื่น ๆ คือดราม่าที่บีบคั้นหัวใจ เล่นกับความรู้สึกของคนดู ด้วยความสัมพันธ์และปมของผู้เล่นแต่ละคน รวมไปถึงพาไปเห็นเรื่องราวหลังจบการแข่งขัน ว่าท้ายที่สุด เกิดอะไรขึ้นบ้างกับผู้เหลือรอด
แต่น่าเสียดายที่เกมต่าง ๆ ไม่ต่างอะไรจาก Battle Royale ที่มีการคัดคนออกไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เงินรางวัลเพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้เล่นที่ตกรอบ ทำให้คาดเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก ในขณะที่ซีรีส์ในลักษณะเดียวกันอย่าง Alice in Borderland หรือ Liar Game มีปริศนาและกลไกที่จะทำให้ผู้เล่นทั้งหมดสามารถเอาชนะแต่ละเกมไปได้
ทำให้หลาย ๆ การแข่งขันของ Squid Game เน้นการเล่นเพื่อเอาชนะมากกว่าใช้ทักษะและคิดแผนต่าง ๆ เพื่อผ่านแต่ละการแข่งขัน
น่าเสียดายที่ท้ายที่สุดซีรีส์ก็เลือกที่จะหันไปสนใจพาร์ทดราม่าซะมากกว่าทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายที่ควรจะลุ้นระทึกและกระแทกอารมณ์คนดู จบลงอย่างรวดเร็ว และไม่สมศักดิ์ศรีกับการเป็นรอบสุดท้ายของการแข่งขัน
เส้นเรื่องของด้านตำรวจที่ออกตามหาพี่ชายที่หายตัวไป ก็ถูกความลุ้นระทึกของการแข่งขันในเส้นเรื่องหลักกลบซะมิดจนกลายเป็นปมที่ถูกใส่มาแบบขาด ๆ เกิน ๆ และแทบจะไม่มีผลอะไรกับเส้นเรื่องหลักแม้แต่น้อย
Squid Game แม้จะเป็นซีรีส์เอาตัวรอดที่โดดเด่นด้านดราม่า จนทำเอาคนดูหดหู่ไปตาม ๆ กัน และมู้ดโทนที่สดใสแหวกแนวแต่ในแง่เกมการแข่งขันและความลุ้นระทึกกลับทำออกมาได้ไม่ดีเท่าซีรีส์เอาตัวรอดเรื่องอื่น ๆ
Squid Game เกมลุ้นตาย
ดูได้แล้ววันนี้ ที่ #Netflix เท่านั้น พร้อม #พากย์ไทย
รู้ไว้ก่อนดู: https://youtu.be/7iTz34ECXoo
#จดอ #JUSTดูIT #SquidGame #NetflixTH